การคำนวณผลประโยชน์พนักงาน: เครื่องมือทางบัญชีที่สะท้อนความรับผิดชอบขององค์กร
- อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน)
- 24 มิ.ย.
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 4 ก.ค.

ในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน องค์กรไม่อาจมองข้ามภาระผูกพันที่เกิดจากการจ้างงาน หนึ่งในเรื่องสำคัญที่ต้องมีการจัดการและวางแผนอย่างรอบคอบ คือ “การคำนวณผลประโยชน์พนักงาน” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญทางบัญชีในการแสดงถึงหนี้สินในอนาคต ที่บริษัทต้องรับผิดชอบต่อพนักงานของตน
ผลประโยชน์พนักงานในที่นี้หมายถึงค่าตอบแทนที่พนักงานมีสิทธิได้รับจากบริษัทนอกเหนือจากเงินเดือน เช่น เงินชดเชยเมื่อเกษียณ เงินบำเหน็จ โบนัสตามอายุงาน หรือเงินชดเชยเมื่อออกจากงาน ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้จ่ายทันที แต่เป็นสิ่งที่องค์กรต้อง “สะสม” และ “รับรู้ล่วงหน้า” เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระเมื่อถึงเวลา
คำนวณผลประโยชน์พนักงาน: เรื่องของเวลา และความแม่นยำ
การคำนวณผลประโยชน์พนักงานไม่ใช่เพียงการบันทึกตัวเลขในงบการเงินเท่านั้น แต่คือการใช้หลักการทางคณิตศาสตร์และสถิติ เพื่อประเมินภาระทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะสำหรับองค์กรที่มีพนักงานจำนวนมาก หรือมีนโยบายสวัสดิการที่เข้มข้น
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เพื่อให้เห็นภาพ สมมติว่าบริษัทกำหนดให้พนักงานที่ทำงานครบ 20 ปีจะได้รับเงินชดเชย 300,000 บาท หากพนักงานเริ่มทำงานในปีนี้ บริษัทควรเริ่มรับรู้หนี้สินบางส่วนตั้งแต่ปีแรก ไม่ใช่รออีก 20 ปีแล้วค่อยกันเงินก้อนออกมาจ่าย เพราะหากทำเช่นนั้นอาจส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดอย่างรุนแรงในอนาคต
มาตรฐานบัญชีไทยที่เกี่ยวข้อง
ในประเทศไทย การคำนวณผลประโยชน์พนักงานต้องอิงตามมาตรฐานรายงานทางการเงิน ซึ่งมีอยู่สองประเภทหลัก ได้แก่:
TFRS for NPAEs (กิจการไม่มีส่วนได้เสียสาธารณะ)
กิจการกลุ่มนี้จะมีข้อกำหนดที่ยืดหยุ่นกว่า มาตรฐานไม่ได้ระบุวิธีคำนวณผลประโยชน์พนักงานไว้อย่างชัดเจน แต่รวมอยู่ในหมวดของ “หนี้สินประมาณการ” ซึ่งบริษัทจะรับรู้เมื่อมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาจคำนวณปีต่อปีหลังจากดูข้อมูลย้อนหลัง เช่น พนักงานทำงานครบ 1 ปี จึงคำนวณหนี้สินที่ควรจะเกิดขึ้นในรอบปีนั้น และรับรู้ในงบปีนั้นทันที
TFRS for PAEs และ TAS 19 (กิจการมีส่วนได้เสียสาธารณะ)
มาตรฐาน TAS 19 กำหนดให้คำนวณผลประโยชน์พนักงานล่วงหน้าโดยใช้วิธี Projected Unit Credit Method
ซึ่งเป็นวิธีที่ซับซ้อนกว่า แต่ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำกว่า วิธีนี้จะพิจารณาความน่าจะเป็นที่พนักงานจะอยู่ทำงานจนถึงจุดที่มีสิทธิได้รับผลประโยชน์ พร้อมทั้งพิจารณาค่าต่าง ๆ เช่น อายุ ข้อมูลการลาออก และอัตราดอกเบี้ย เพื่อคำนวณมูลค่าปัจจุบันของภาระหนี้สินเหล่านั้น
ความเสี่ยงจากการไม่คำนวณผลประโยชน์พนักงาน
หากองค์กรไม่คำนวณผลประโยชน์พนักงานอย่างถูกต้อง ย่อมเสี่ยงต่อหลายปัจจัย เช่น
กระทบต่องบการเงิน: หนี้สินที่ไม่ได้รับรู้ อาจทำให้งบการเงินดูดีเกินจริง และเกิดปัญหาเมื่อตรวจสอบภายหลัง
เสียความน่าเชื่อถือ: นักลงทุน และผู้สอบบัญชีอาจตั้งข้อสงสัยในความโปร่งใสของการเงินบริษัท
กระทบพนักงาน: หากไม่มีการกันเงินไว้ล่วงหน้า องค์กรอาจไม่มีเงินพอจ่ายให้พนักงานเมื่อถึงเวลา
เครื่องมือวางแผนทางการเงินระยะยาว
แม้การคำนวณผลประโยชน์พนักงานจะดูเหมือนเป็นเรื่องของฝ่ายบัญชี แต่แท้จริงแล้วคือกลไกที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างรอบคอบ มองเห็นภาพรวมของหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบ และเตรียมสภาพคล่องไว้ให้พร้อมหากเกิดภาระขึ้นจริงในอนาคต
องค์กรที่มีการวางแผนผลประโยชน์พนักงานอย่างมีระบบ ยังสะท้อนถึงความใส่ใจในพนักงาน และช่วยสร้างความมั่นใจให้กับทั้งบุคลากรภายในและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก
แน่นอนว่าการคำนวณผลประโยชน์พนักงานตามมาตรฐาน TAS 19 นั้นค่อนข้างซับซ้อน และมีขั้นตอนค่อนข้างเยอะ ดังนั้น เพื่อลดความยุ่งยากเหล่านี้บริษัทสามารถมองหาผู้เชี่ยวชาญให้เข้ามาดูแลในส่วนนี้แทนได้ โดย ABS พร้อมเป็นตัวเลือกในการเป็นที่ปรึกษาด้านผลประโยชน์พนักงาน ด้วยนักคณิตศาสตร์ประกันภัยระดับเฟลโล่ที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปี ดูแลด้านผลประโยชน์พนักงานมาไม่น้อยกว่า 2,000 บริษัท ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พร้อมด้วยทีมงานระดับมืออาชีพ ที่จะคอยช่วยเหลือตั้งแต่เริ่มต้นจนได้ผลลัพธ์ และตอบคำถามหรือข้อสงสัยให้ผู้บริหารและผู้สอบบัญชีได้
อ้างอิงจาก: https://actuarialbiz.com/th/knowledgedetails/271
เขียนและเรียบเรียงโดย อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน)
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)
อดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย และอาจารย์บรรยายด้านการคำนวณผลประโยชน์พนักงานด้วยหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย ตามมาตรฐานบัญชี ฉบับที่ 19
ขอสงวนสิทธิ์ของเนื้อหาในบทความ ไม่ให้นำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ ในเชิงพาณิชย์ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากทางบริษัท ABS เท่านั้น
Comments