การแยกองค์ประกอบของสัญญาประกันภัย (Separation of Insurance Contract)
เป็นเรื่องทั่วไปที่แต่ละมาตรฐานการรายงานทางการเงินจะมีการกำหนดขอบเขตของสัญญาประกันภัย ว่าอะไรที่เข้าข่ายมาตรฐานนี้ และอะไรที่ไม่เข้าข่าย ซึ่งใน IFRS 17 เองก็ได้กำหนดถึงขอบเขตของตัวเองว่า อะไรที่จะเข้าข่ายว่าจะต้องนำมาพิจารณาสำหรับ IFRS 17 บ้าง เช่น ส่วนประกอบที่เป็นส่วนของความคุ้มครอง และส่วนของการลงทุนที่แยกออกมาจากส่วนของประกันภัยไม่ได้ (Non Distinct Investment Component: NDIC) เป็นต้น
โดยในบทแรกนี้เขียนขึ้นมาเพื่อจำแนกลักษณะของสัญญาประกันภัยต่าง ๆ ว่าอาจจะมีส่วนประกอบอื่นที่ไม่เกี่ยวกับ IFRS 17 มาเจือปนได้ ซึ่งส่วนประกอบอื่นที่มาเจือปนนี้ส่วนใหญ่จะมาจากสัญญาประกันชีวิตที่มีส่วนเพิ่มเติมของการลงทุน หรือพวกบริการ อื่น ๆ ที่ผนวกเข้ามาพร้อมกับความคุ้มครองประกันชีวิต
ดังนั้น ในบทนี้จึงเน้นที่จะดึง และแยกแยะส่วนที่เป็นเฉพาะความคุ้มครองออกมาก่อน ส่วนนี้จึงไม่ค่อยมีปัญหากับทางธุรกิจประกัน วินาศภัยสักเท่าไร เพราะมันตรงตัวของมันอยู่แล้ว (ในทางกลับกันมันถูกเขียนขึ้นมาให้ครอบคลุมสำหรับประกันชีวิตมากกว่า)
Separation of Insurance Contract นี้ แบ่งเนื้อหาออกเป็น 4 ส่วน คือ
องค์ประกอบที่เป็นการประกันภัย (Insurance Component)
ในส่วน Insurance Component นั้นก็แปลตรงตัวกันอยู่แล้วว่ามันคือ องค์ประกอบที่เป็นการประกันภัย ก็คืออะไรที่เน้นความคุ้มครองเป็นหลัก หรือถ้าให้เป็นภาษาที่ง่ายกว่านั้นก็คือ อะไรก็ตามที่มีทุนประกันภัยที่จะจ่ายเมื่อเกิดเหตุการณ์ และอะไรที่ระบุไว้ในสัญญากรมธรรม์นั้นก็เรียกว่าเป็น Insurance Component ได้
อนุพันธ์แฝง (Embedded Derivatives)
ในส่วนของ Embedded Derivative นั้น จะไม่ค่อยเกี่ยวกับแบบประกันของทางธุรกิจประกันวินาศภัยเท่าไร เพราะมันเป็นตราสาร
อนุพันธ์แฝงที่ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกับสัญญาประกันภัยที่มีการลงทุนอยู่ข้างในด้วย เช่น
Callable Bond (คือพันธบัตรที่ลูกหนี้สามารถเอาเงินต้นคืนให้กับเจ้าหนี้ได้เสมอ และหยุดจ่ายดอกเบี้ยในทันที)
Interest Rate Swap ที่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ต้องใช้ความรู้ทางวิศวกรรมการเงิน ที่จะต้องเป็นการแลกเปลี่ยนจากดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) ไปเป็นดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) หรือจากดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ไปเป็นดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) เป็นต้น
พวก Currency Swap ที่เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ต้องใช้ความรู้ทางวิศวกรรมการเงินที่เป็นการแลกเปลี่ยนจากอัตราค่าเงินสกุลหนึ่งไปเป็นเงินอีกสกุลหนึ่ง
ซึ่งถ้าเราเอาเรื่องของ Embedded Derivative มาประยุกต์กับธุรกิจประกันภัย เท่าที่เป็นไปได้ก็จะมีแบบประกันภัยบางประเภทที่มีโอกาสเข้าข่ายได้ เช่น
GMXB ของประกันชีวิต เช่น พวก Guarantee Minimum Benefit ของอะไรต่าง ๆ ของพวกประกันพ่วงการลงทุนไม่ว่าจะเป็น Unit Linked หรือ Universal Life เป็นต้น
แบบประกันที่เบี้ยประกันภัยที่เก็บมานั้นจะนำไปลงทุนกับสกุลเงินภายในประเทศ แต่ตัวของทุนประกันภัยจะเป็นสกุลเงินต่างประเทศ โดยเราจะเรียกว่า เป็นพวกที่สินทรัพย์ และหนี้สินมี Currency หรือสกุลเงินที่ต่างกัน ซึ่งมันก็จะเหมือนกับการไป
การันตีหนี้สินในอีกสกุลเงินหนึ่งที่แตกต่างจากฝั่งสินทรัพย์
ตัว Embedded Derivative ในบทแรกนี้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับบริบทของประกันวินาศภัยเท่าไรนัก แต่จะเกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันชีวิตเสียมากกว่า และแทบจะไม่มีให้เห็นในประกันชีวิตในประเทศไทยเสียด้วย สรุปว่าถ้าใครอ่าน Embedded Derivative แล้วรู้สึกสับสนหรือไม่เข้าใจ ก็สามารถข้ามส่วนนี้ไปได้โดยไม่เป็นปัญหา เพราะไม่ได้มีผลกับธุรกิจประกันวินาศภัยโดยตรงครับ
องค์ประกอบที่เป็นการลงทุน (Investment Component)
ส่วนที่หลายคนค่อนข้างสับสนกันก็คือ ในส่วนของการแยกแยะ Investment Component ซึ่งในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันเพราะธุรกิจประกันส่วนใหญ่จะเกิดจากการเอาเงินมาฝากก่อน เพื่อจะต้องลงทุนให้ได้ผลตอบแทน และไว้จ่ายเคลมในอนาคต โดยจะเห็นได้ชัดเจนมากในธุรกิจประกันชีวิต
Investment Component นั้นสามารถแจกแจงออกมาได้ 2 แบบ คือ แบบที่แยกการลงทุนออกมาได้ชัดเจน กับแบบที่แยกการลงทุนออกมาได้อย่างไม่ชัดเจน
ส่วนที่แยกการลงทุนออกมาได้อย่างชัดเจน (Distinct) ก็หมายถึง การลงทุนโดยตรง เช่น พวก Unit Linked ที่มี Unit Account หรือ Account Value (มูลค่าบัญชี) โดยตรงได้ตั้งแต่วันแรก โดยจุดสำคัญที่จะบอกว่ามันแยกการลงทุนออกมาได้อย่างชัดเจนคือ การที่สามารถเห็นมูลค่าเพื่อประเมินการถอนจ่ายได้เลย หรือการที่เห็นได้ชัดเลยว่าส่วนลงทุนของผู้ถือกรมธรรม์ตอนนี้นั้นมีอยู่เท่าไร เป็นต้น ดังนั้นส่วนนี้จึงอาจไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจประกันวินาศภัย เว้นเสียแต่ว่าแบบประกันของธุรกิจประกันวินาศภัยจะทำเป็นแบบ Unit Linked ที่พ่วงการลงทุน (ในอนาคตอันไกลโพ้น) นั่นเอง
ส่วนที่แยกการลงทุนออกมาได้อย่างไม่ชัดเจน (Non-distinct) ซึ่งเหมือนมันฝังเรื่องของการลงทุนเข้าไปอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นประเภทที่มีเงินคืนกลับไปให้ลูกค้า โดยในส่วนของประกันวินาศภัยจะมีการเกี่ยวข้องนั้นก็คือตอนที่แบบประกันนั้นมีลักษณะที่เป็นสัญญาระยะยาวแบบ Return of Premium (ROP) ที่มีการคืนเบี้ยให้เมื่อครบกำหนดสัญญา หรือไม่ก็เป็นพวก Experience Refund ที่ถือว่าแฝงอยู่ในส่วน Non Distinct นี้ (เรียกภาษาทางการว่า Non Distinct Investment Component: NDIC) ที่เหมือนกับการฝากเงินเก็บไว้ก่อน และจ่ายคืนให้ทีหลังแบบอ้อม ๆ
ประเด็นสำคัญก็คือ ส่วนที่เป็น Distinct Investment Component นั้น จะไม่นับว่าเข้าข่าย IFRS17 แต่จะถือเป็นเรื่องของเครื่องมือทางการเงินแทน ในมาตรฐานรายงานทางการเงิน IFRS9 แต่ส่วนที่เป็น Non Distinct Investment Component นั้น จะยังถือเป็น IFRS17 อยู่
ทั้งนี้ ในการตีความเพื่อให้ง่ายกับการดำเนินการของธุรกิจประกันวินาศภัยนั้น เราสามารถตีความ No Claim Bonus (NCB) ให้เป็นเหมือนส่วนลดเบี้ยประกันไปเลย สิ่งเหล่านี้สามารถทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้ โดยที่ไม่ต้องหยิบมันเข้ามาจัดประเภทให้เป็น Non Distinct Investment Component ให้ยุ่งยาก
ส่วนที่เกี่ยวข้องกับประกันชีวิต (เผื่อประกันวินาศภัยในอนาตคอยากทำบ้าง) ก็จะเป็นจำพวก Equity Index Link หรือ Gold Index Link ที่กรมธรรม์ระบุว่าจะมีการจ่ายเงินคืนตามผลประกอบการของหุ้นหรือทองคำที่ลงทุนไป เป็นต้น
สัญญาในการโอนสินค้าหรือบริการที่ไม่ใช่การประกัน (Promises to Transfer Goods or Non-Insurance Services)
ส่วนสุดท้ายของบทแรกคือ Distinct Goods and Services (Promises to Transfer Goods or Non-Insurance Services) โดยมันจะเข้าข่ายของ IFRS 15 ซึ่งเป็นเรื่องการรับรู้รายได้แทน ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นพวกบริการเสริมต่าง ๆ ที่เหมือนส่วน Add on พ่วงเข้ามากับเบี้ยประกันภัย เช่น บริการ Medical Service ที่แยกชำระค่าบริการได้เพิ่มเติมแยกต่างหาก แต่ส่วนนี้จะไม่ค่อยพบเห็นในธุรกิจประกันวินาศภัยเท่าไรนัก เพราะปกติจะไม่ได้เรียกเก็บเงินเพิ่มเติมจากบริการเสริมเหล่านี้กันอยู่แล้ว
โดยสรุปแล้ว บทแรกนี้ คือการที่มาตรฐานต้องการให้ Scope ในส่วนของ Insurance Component ออกมาไว้ แต่ถ้าจะมีส่วนที่เป็นปลายติ่งที่เกี่ยวกับ IFRS17 ก็จะเป็น Non Distinct Investment Component (NDIC) ซึ่งเวลาที่จะลงบัญชีนั้น จะไม่ได้เข้าไปอยู่ในบรรทัดบนสุด (ไม่ได้อยู่บน Revenue and Service Expense)
ยกตัวอย่างของ Non Distinct Investment Component (NDIC) แบบ Return of Premium (ROP) ของแบบประกันวินาศภัย สมมติว่า เบี้ยประกันคือ 1,000 บาท (จ่ายเบี้ยครั้งเดียว) ระยะเวลาของสัญญาคือ 10 ปี แล้วตอน Return of Premium คือ 100 บาท ที่ปลายปีที่ 10 ซึ่งในตัวอย่างนี้ บริษัทประกันวินาศภัยจะลงบัญชีรับรู้รายได้ ปีละ 90 บาท (1,000 ลบ 100 บาท และหารเฉลี่ย 10 ปี) และทยอยรับรู้ไปเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งหมายถึงตลอด 10 ปี จะรับรู้สะสมเป็นรายได้ 900 บาท ซึ่ง 100 บาทที่หายไปในระหว่างทางนั้น (จากที่ควรรับรู้จนถึง 1,000 บาท ก็ทำได้แค่รับรู้แค่ 900 บาท) จะไปหักล้างกับ 100 บาทที่บริษัทต้อง Return of Premium นั่นเอง
นอกจากนี้ ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญของตัว NDIC ที่อยากจะเน้นย้ำ ก็คือเงิน 100 บาทจาก Return of Premium (ROP) ซึ่งจัดเป็น Non-Distinct Investment Component (NDIC) จะไม่ถูกบันทึกในงบกำไรขาดทุน แต่จะถูกกันสำรองไว้ตั้งแต่วันแรกเต็มจำนวน 100 บาท การสำรองนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีการจ่าย ROP ให้กับผู้รับผลประโยชน์จริง ๆ เมื่อถึงจุดนั้น เงินสำรองจะลดลงจนเหลือ 0 บาท ทั้งนี้ ต้องเน้นว่า ตั้งแต่วันที่เริ่มกันสำรองจนถึงวันที่จ่าย ROP เงินจำนวนนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับงบกำไรขาดทุนเลย
เขียนโดย อาจารย์ทอมมี่ (พิเชฐ)
FSA, FIA, FRM, FSAT, MBA, MScFE (Hons), B.Eng (Hons)
ขอสงวนสิทธิ์ของเนื้อหาในบทความ ไม่ให้นำไปใช้แสวงหาผลประโยชน์ใด ๆ ในเชิงพาณิชย์ นอกจากจะได้รับอนุญาตจากทางบริษัท ABS เท่านั้น
Comments